โขงเจียม สามพันโบก อุบล
- Pornwadee Bhacharoensuk
- Aug 17, 2021
- 2 min read
หลังจากที่เรากลับมาอยู่บ้านต่างจังหวัดและโดนกักตัวไปเป็นระยะเวลา 2 อาทิตย์ ในที่สุดก็ได้เดินทางอีกครั้ง ดูเหมือนว่าโควิดจะเป็นอุปสรรคในการเดินทางของเรามาก ๆ แต่มันก็ไม่สามารถหยุดเราให้เลิกเที่ยวได้ บ้านเราอยู่จังหวัดมหาสารคาม ภาคอีสาน เราเป็นคนอีสานแท้ ๆ แต่แทบจะไม่ค่อยได้เที่ยวทางนี้เลย เพราะทางบ้านเรามันอากาศร้อนมาก ๆ ร้อนทุกฤดูกาล เราก็เลยชอบขึ้นไปทางเหนือมากกกว่า เพราะได้สัมผัสบรรยากาศเย็น ๆ และที่สำคัญคือได้อยู่ใกล้ภูเขา ที่ที่เราชอบมาก ๆ สาเหตุที่ชอบก็เพราะจังหวัดเราไม่มีภูเขานั่นเอง ก็คงเหมือนกับคนอื่นทั่วไปที่มีบ้านอยู่ทะเลแต่อยากไปขึ้นเขา มีบ้านอยู่บนเขาแต่อยากไปเที่ยวทะเล 555+ แต่โชคร้ายบ้านเราไม่มีทั้งภูเขาและทะเล ก็เลยไม่ได้เที่ยวแถวๆบ้านเลย ภาคอีสานเราเคยไปเที่ยวมาตอนที่เรียนไกด์แล้วอาจารย์พาไปลงภาคสนามออกต่างจังหวัด แต่ไปแค่วัด พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ทางประวัติศาสตร์ก็เลยไม่ค่อยรู้ที่เที่ยวอย่างอื่น
มีอยู่วันนึงเพื่อนเราทักมาชวนว่า “ไปสามพันโบกกันไหม?” เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหน พอเสิร์ชดูจึงได้รู้ว่า อ๋อ! อยู่อุบลราชธานีนี่เอง จึงตัดสินใจไปกับเพื่อนโดยตั้งใจไว้ว่าจะไปหลังกักตัวเสร็จ และแล้ววันนั้นก็มาถึง และการเดินทางของเราก็ได้เริ่มต้นขึ้น...
สาย ๆ ของวันศุกร์สุดสัปดาห์เพื่อนขับรถมารับเราที่บ้านมุ่งหน้าสู่จังหวัดอุบลราชธานี ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 2 ที่เราจะไปเยือนเมืองดอกบัวงาม การเดินทางครั้งนี้เป็นไปด้วยความชิว ๆ สบาย ๆ ไม่ได้เร่งรีบอะไร ระหว่างทางก็แวะปั๊มดื่มชาเขียวบ้าง เข้าห้องน้ำบ้าง บ่ายโมงถึงตัวเมืองอุบลพอดีจึงแวะทานข้าวก่อน เป็นร้านอาหารเวียดนามชื่อ “ร้านอินโดจีน” เอ๊ะ! สรุปอาหารอินโดหรืออาหารจีน? ไม่ใช่ทั้งสอง มันคืออาหารเวียดนาม! ร้านนี้เราเห็นรีวิวจาก Wongnai ให้ตั้ง 5 ดาวและเป็นร้านแรกที่เสิร์ชแล้วเจอด้วยก็เลยมากิน เราเป็นคนที่กินค่อนข้างง่าย กินอะไรก็ได้ อาหารภัตตาคารก็ได้ อาหารข้างทางก็ดี ขอแค่กินเป็น แต่ถ้ากินไม่เป็นก็จะไม่ค่อยฝืนตัวเองเท่าไหร่ 555+ หน้าร้านก็ออกสไตล์เรือนทรงไทยนะ แต่ในร้านเหมือนจีน ก็คงเป็นแบบผสมผสาน พนักงานก็เป็นป้า ๆ บริการไม่ถึงกับประทับใจ ส่วนอาหารที่สั่งไปก็มีแหนมเนือง เปาะเปี๊ยะทอดและสด อร่อยมาก อาหารเวียดนามในไทยคืออร่อยกว่าอาหารเวียดนามในเวียดนามนะ เพราะจากที่เราไปเที่ยวเวียดนามมาค่อนข้างบ่อยและลองกินไปหลาย ๆ อย่าง น้ำจิ้มเขาสู้เราไม่ได้จริง ๆ น้ำจิ้มไทยอร่อยที่สุดในโลกเชื่อเถอะ! พออิ่มท้องก็เดินทางต่อ ตอนเข้าห้องน้ำหลังทานข้าวเสร็จก็สังเกตเห็นประจำเดือนเลอะชุดจึงไปเปลี่ยนชุดที่เซ็นทรัลแต่เปลี่ยนชุดยังไงไม่รู้ ได้รองพื้นกลับมาด้วย 555+ จากนั้นก็ปักหมุดไปที่ที่พักชื่อว่า “ทอแสงโขงเจียมรีสอร์ท” ระหว่างทางเราเห็นป้ายแล้วว่ามันชี้ให้เข้าซอยซ้ายมือหลังจากที่ลงจากสะพานข้ามแม่น้ำมา แต่ในแผนที่บอกให้ตรงไป ก็เลยตรงไปก่อน พอตรงไปเรื่อย ๆ เอ้า! ทำไมมันบอกให้กลับรถและกลับไปทางเดิม เราจึงโทรไปถามที่พัก สรุปว่าเราเลยที่พักไปแล้ว 555+ จริง ๆพี่ที่เป็นเพื่อนเราใน Facebook ผู้ซึ่งบ้านอยู่ที่อุบลก็ได้ทักแชทบอกเราแล้วว่า “ถึงพิบูลมังสาหาร สามแยกไฟแดง เลี้ยวซ้ายตรงไปข้ามสะพานแม่น้ำมูล ลงสะพานสี่แยกเลี้ยวขวา ตรงไปจนถึงโขงเจียม” แต่เราก็ไม่ได้ไปตามที่พี่เขาบอกเพราะเราเชื่อมั่นใน Google Map 555+ รู้งี้เชื่อเจ้าถิ่นดีกว่า แล้วพี่เขาก็แนะนำอีกว่า ให้เข้าที่พักก่อนแล้วค่อยไปวัดเรืองแสง ซึ่งเป็นวัดชื่อดังมาก ๆ ที่ไม่ควรพลาด แต่ในเมื่อเราหลงทางและขับเลยที่พักมาแล้วและทางที่เรามามันเป็นทางเดียวกับวัดพอดี เราก็เลยเปลี่ยนเส้นทาง Google Map ให้พาไปที่วัดก่อน ไหน ๆก็มาทางนี้แล้ว แต่พอไปถึงวัดก็ไม่ได้เห็นถึงความ amazing แต่อย่างใด มันก็เหมือนวัดทั่วไป แสดงว่ามันต้องสวยแค่ตอนกลางคืนแน่เลย ก็เลยถามพี่ยามว่า วัดนี้จะเห็นเรืองแสงตอนไหน เขาก็บอกว่าให้มาใหม่ วัดเปิด 19.00 - 20.00 น. เราจึงกลับ และก่อนกลับก็ได้ขับไปทางช่องเม็กก่อน ช่องเม็กเป็นด่านกั้นชายแดนไทย - ลาว ตอนที่เราไปเงียบเหงามาก ไม่มีของขาย เราแค่แวะไปดูเป็นลาดเลาไว้เผื่อคราวหน้าจะข้ามไปเที่ยวลาวจะได้รู้ว่าทางเข้ามันอยู่ตรงไหน หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ที่พัก ใช้เวลาประมาณ 25 นาที สำหรับที่พักในทริปนี้เป็นที่พักเครือทอแสง ในโขงเจียมเราพักที่ทอแสงโขงเจียมรีสอร์ท ส่วนในเมืองอุบลเราพักที่ทอแสงเฮอริเทจอุบลราชธานี ซึ่งก็เป็นที่พักที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เราไปถึงตอน 5 โมงกว่า รวม ๆ แล้วจากบ้านเรามาโขงเจียมใช้เวลาทั้งสิ้น 7 ชม.!!!! (ตาม Google Map 4 ชั่วโมง 20 นาทีถ้าไม่แวะ) เมื่อไปถึงก็ได้เช็คอินและพักผ่อนได้แค่ชั่วโมงเดียวก็ต้องรีบออกมาที่ Lobby เพื่อสั่งอาหารไว้เนื่องจากว่าครัวปิด 21.00 น. เราบริหารเวลาได้ดีทีเดียว 555+ ถึงแม้ว่าจะได้พักผ่อนนิดเดียวแต่เราก็ไม่เหนื่อยอยู่ดี เพราะเราไม่ได้เป็นคนขับ เพื่อนเราขับคนเดียวตลอดทาง
ระหว่างทางที่ไปวัดนั้นบรรยากาศต่างจากตอนมาครั้งก่อนมากเพราะมันมืดแล้ว ทางเข้าดูเปลี่ยว ไม่มีไฟ ถ้ามีคนมาดักทำอะไรก็คงไม่มีใครสามารถมาช่วยได้เพราะแถวนั้นเงียบมาก ไม่เห็นผู้คนเลย แต่เราก็คิดแง่ดีไว้ มันคงไม่มีอะไร และมันก็ไม่มีอะไรจริง ๆ พอไปถึงวัดปรากฏว่าประตูทางเข้าปิด เอ้า! ไหนบอกเปิดทุ่มนึงไง ตอนเราไปถึงมันก็ทุ่มกว่า ๆ แล้ว แต่เราก็ไม่ได้ถอดใจที่จะกลับเพราะไหน ๆ ก็มาถึงแล้ว จึงขับเข้าไปตรงทางออก เพราะมันเปิดดอยู่ และจอดรถไว้ตรงที่จอดรถหน้าวัดก็เห็นรถคนอื่น ๆ อยู่ 2 – 3 คัน ก็เลยสบายใจ เพราะถือว่าเราไม่ได้บุกเข้ามา คนอื่นเขาก็เข้ามาเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะเขาเปิดให้เข้า-ออกทางเดียวคือทางออก พอจอดรถเสร็จก็เดินดูหน้าวัด แปลกใจมากทำไม่ไม่เห็นแสงไฟอะไรเลย ทำไมในรูปแสงมันสวยมากเลย แสงสีม่วง สีชมพู หรือว่าเขาจะปิดช่วงโควิดนะ เราก็คิดไปเองหมดมั่วซั่ว แอบผิดหวังนิดหน่อย อุตส่าห์มาถึงแต่ไม่ได้เห็นภาพความสวยงามแบบที่จินตนาการไว้ เราเดินดูลวดลายดอกไม้ตามพื้นพร้อมกับบ่น ๆ ไปด้วย ระหว่างนั้นมีพี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินมาจากทางหลังวัดเราเลยถามเพื่อความแน่ใจว่าเขาปิดจริงหรือเปล่า พี่เขาตอบว่า “อ๋อ! อยากเห็นเรืองแสงต้องเดินไปทางหลังวัดนะ” เราดีใจมากที่ได้ยินแบบนั้นเพราะเราอยากเห็นมาก ๆ จึงรีบเดินไปดู วัดมืดมาก เดินไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเห็นแล้วว่ามันมีแสงจริง ๆ!! และเราก็ได้เห็นคนกลุ่มนึงพากันถ่ายรูปกันอยู่ แต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นใคร เพราะมันมืดจนไม่สามารถเห็นหน้าใครได้ แต่ที่เห็นคือแสงจากพื้นและจากตัววัด คือมันเป็นอะไรที่นอกจากสวยงามแล้วมันยังรู้สึกโรแมนติกอีกด้วย เพราะบรรยากาศเงียบมาก มีแต่เสียงแมลง เราประทับใจมากเพราะนี่เป็นวัดแรกที่เรารู้สึกว่ามันพิเศษมาก ไม่เหมือนวัดที่อื่น ๆ ที่เคยเห็นมา พยายามถ่ายวิดีโอก็ไม่เห็นอะไรเลยเพราะมันมืดจริง ๆ แค่ตาเปล่าและภาพถ่ายเท่านั้นที่สามารถเห็นได้ เราจึงตั้งขาตั้งกล้องมือถือถ่ายไปหลายแชะ โชคดีที่เอาขาตั้งกล้องไปด้วยเพราะโหมดกลางคืนถ้าไม่ใช้ขาตั้งกล้องภาพมันจะเบลอ แต่ภาพที่เราได้ออกมาคือมันนิ่งและสวยอลังการมาก ทริปวันนี้วันแรกก็ทำให้เราประทับใจได้ไม่มีวันลืมเลยทีเดียว จริง ๆ ในภาพที่เราเห็นตามเว็บต่าง ๆ มันสีสดและเกินจริงมาก ของจริงคือแสงมันจะไม่เข้มขนาดนั้น วัดเรืองแสงนี้ชื่อเต็มของมันคือ “วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว” ชื่อจะยาวไปไหน มันงดงามจริง ๆ อยากให้ทุกคนไปเห็นกับตา นอกจากวัดจะสวยแล้ว เรายังเห็นพระจันทร์บนท้องฟ้าสวยงามชัดเจนอีกด้วย
เมื่อถ่ายรูปเสร็จก็เดินทางกลับที่พัก แล้วก็ได้เวลาข้าวเย็นพอดี อาหารที่สั่งไว้ได้วางเรียงรายไว้ต่อหน้าเรียบร้อยหน้าตาน่าทานมาก มีลาบปลาคัง ลวกจิ้มปลาคัง ผัดเผ็ดเป็ดย่าง และปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม ที่สั่งปลาแล้วก็ปลาเพราะที่พักนี้ขึ้นชื่อเรื่องปลาคังและอีกอย่างเรามาเที่ยวถึงแม่น้ำโขงเราก็ต้องกินปลาสิ อาหารที่นี่คืออร่อยทุกอย่างเลย ส่วนบรรยากาศก็ดีแต่เสียดายที่มองไม่เห็นวิวอะไรเลยเพราะมันค่ำแล้ว ทอแสงรีสอร์ทมีไฮไลต์เด็ดก็ตรงที่ทานข้าวนี่แหละ เพราะเป็นจุดที่สวยสี่สุด ฝั่งนึงเป็นวิวสระว่ายน้ำ อีกฝั่งเป็นวิวแม่น้ำ แต่เราไม่ได้นั่งโซนนั้นเพราะฝนตก ซึ่งทำเลที่นี่ก็ดีมากเช่นกัน เป็นจุดบรรจบกันระหว่างแม่น้ำมูลกับแม่น้ำโขงที่เขาเรียกกันว่า “แม่น้ำสองสี” ช่วงที่เราไปพักคนน้อยมาก ก็ดีเหมือนกันเพราะเราชอบความสงบ อีกอย่างก็ปลอดภัยกับตัวเองด้วย ไม่เสี่ยงรับเชื้อจากคนอื่น ระหว่างที่ทานข้าวอยู่ก็มีน้องแมวสองตัวและน้องหมาเดินมาวนเวียนใกล้ ๆ เราจึงสงสัยว่า เข้ามาได้ไง ที่พักแบบนี้ไม่ควรมีสัตว์มาเดินเพ่นพ่านก็เลยได้รู้ว่าน้อง ๆ มาจากเพื่อนบ้าน เราก็โอเคเข้าใจได้ เพราะที่นี่ก็เป็นต่างจังหวัดด้วย ด้วยความที่ขี้สงสารก็เลยแกะปลาให้น้องแมวกินด้วยเพราะนางมาอ้อนอยู่นานส่วนหมาเราไม่ให้เพราะเกรงใจเพื่อน เพื่อนเราดูไม่ค่อยชอบมันสักเท่าไหร่ แต่ในใจเราก็สงสารน้องหมาอยู่ เราเป็นคนขี้สงสารมาก หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็กลับไปที่ห้องอาบน้ำแต่ก็ยังไม่ได้พักผ่อนเพราะต้องตัดต่อวิดีโอก่อน เพื่อนเราหลับไป ส่วนเราก็ตัดต่อกว่าจะเสร็จประมาณเกือบเที่ยงคืน และพอเสร็จก็อัพโหลดลง Youtube และวางมือถือ นอน เราเป็นคนที่ถ้าได้ถ่ายรูปหรือวิดีโออะไรไว้จะรีบลงทันที เพราะโลกออนไลน์ของเราคือโลก Real time ถ่ายตอนไหนลงตอนนั้น และอีกอย่างที่รีบลงเพราะจะได้ลบในเครื่องออกเพื่อให้มีพื้นที่ในมือถือสำหรับถ่ายวันต่อไป
เช้าวันที่สองของทริป เราตื่นมาแต่เช้าแบบไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกแต่อย่างใด จากที่เมื่อวานยังไม่เห็นวิวจากที่ทานข้าวเลยก็เลยไปทานข้าวเช้าตั้งแต่เช้าก่อนเวลาที่บอกที่กับที่พักไว้ตั้งเป็นชั่วโมง 555+ แต่ก็โชคร้ายฝนตก เราจึงอดถ่ายจุดสวย ๆ และก็ไปนั่งทานข้าวตรงโซนเดิม ข้าวเช้าเราสั่งเป็นชุดอาหารเวียดนาม ก็จะมีก๋วยจั๊บกับไข่กระทะ แต่ก่อนคงเป็นแบบบุฟเฟ่ต์แต่พอโควิดมาเลยต้องเปลี่ยนเป็นอลาคาสเพราะแขกน้อย แต่ข้อดีคือเราจะสั่งกี่อย่างก็ได้จนกว่าจะอิ่มแต่เราก็กินแค่สองอย่างก็อิ่มแล้ว อร่อยดีนะ เป็นมื้อเช้าที่ไม่หนักเกินไปด้วย เมื่อทานเข้าเช้าเสร็จเราก็เช็คเอาท์พร้อมเดินทางไปจุดหมายหลักที่เราตั้งใจที่จะไปสำหรับทริปนี้ก็คือ “สามพันโบก” นั่นเอง แต่อุปสรรคของเราคือฝนมันตกอยู่ระหว่างทางก็ได้แต่ภาวนาขอให้ไปถึงแล้วฝนหยุด จากโขงเจียมไปสามพันโบกประมาณชั่วโมงกว่า ซึ่งใกล้กว่าจากตัวเมือง นั่นคือสาเหตุที่เราพักที่โขงเจียม เมื่อไปถึงสามพันโบกเราพยายามหาห้องน้ำ มีห้องน้ำเปิดอยู่ที่นึง แต่ร้านค้าแถวนั้นคือปิดหมดเลย บรรยากาศเงียบเหงามาก เราถามคนแถวนั้นว่าเหมาเรือได้ที่ไหน เขาก็บอกว่าช่วงนี้ปิดอยู่ ปิดมาหลายเดือนแล้วด้วย เราก็สงสารคนแถวนั้นเหมือนกันนะที่จากที่มีรายได้จากนักท่องเที่ยวก็ต้องรับผลกระทบกันทั้งหมด ส่วนเราก็ตั้งใจมาแล้วก็เลยขอเดินไปดูก่อนว่ามันเป็นยังไง เราเดินลงไปข้างล่างตรงจุดจอดเรือ เห็นเรือถูกจอดทิ้งไว้ ถ้าเป็นเมืองก็เปรียบเสมือนเมืองร้าง และตอนนั้นฝนหยุดแล้วก็จริงแต่พื้นคือเต็มไปด้วยโคลน เราเข้าใจแล้วทำไมเพื่อนเราบอกว่าอย่าไปเที่ยวสามพันโบกตอนหน้าฝนนะ เรามองไปเห็นหินอยู่ไกลลิบ ๆ และมองกลับมาที่รองเท้าตัวเอง ก็คิดว่า มันไม่คุ้มหรอกที่จะเดินฝ่าโคลนตมทั้งหลายนี้ไป และอีกอย่างหินอาจจะลื่นอันตรายทำให้เราลื่นล้มหัวแตกได้ เราคิดไปไกลมาก 555+ จึงตัดสินใจไม่เดินไปตรงแม่น้ำ แต่ใช้โดรนถ่ายแทน ให้โดรนเป็นผู้พิทักษ์แทนเรา ส่วนเราก็นั่งดูอยู่ไกล ๆ พอถ่ายวิดีโอเสร็จเราก็เตรียมตัวกลับเข้าไปในเมือง เราคิดว่าก็ดีเหมือนกันนะที่เรามาแล้วยังไม่ได้ไปล่องเรือ เพราะจะได้เป็นข้ออ้างให้กับตัวเองว่าควรจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ก็เหมือนตอนที่ไปเที่ยวดอยตุงเลย เราไปถึงแค่วัด อุปสรรคจากฝนทำให้เราไปไม่ถึงพระตำหนักซึ่งเป็นจุดที่มีดอกไม้ที่เราไม่ควรพลาดแต่เราก็พลาด อย่างไรก็ตามข้อดีของการพลาดก็คือมันจะทำให้เรามีแรงจูงใจที่จะกลับมาที่นั่นใหม่อีกครั้ง
เมื่อใกล้ถึงตัวเมืองเราได้แวะวัดชื่อดังแห่งหนึ่งก่อนเป็นวัดที่พระต่างชาติมาบวชชื่อ “วัดหนองป่าพง”เห็นเขาบอกดังมาก แต่เราไม่รู้จัก 55+ พอไปถึงปรากฏว่า ปิด! ก็เลยอด ปิดอีกแล้วหรอนี่ โควิดนี่มันร้ายจริง ๆ เราจึงเดินทางไปที่พักเลย เพราะรู้สึกไม่อยากเที่ยวแล้ว ไปไหนก็ปิด อยากพักผ่อนชิว ๆ จึงไปข้าวกินก่อนเข้าที่พัก ก็เสิร์ชไปเจอร้าน "ก.แก้วลาบเป็ด" อยู่ติดถนนใหญ่พอดีเลยแวะทาน สั่งส้มตำ คอหมูย่าง ต้มแซ่ป และลาบเป็ด อาหารขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของอุบลที่มาแล้วต้องห้ามพลาด ก็อร่อยดีนะ ไม่พูดเยอะ ทานเสร็จก็ไปที่พัก “ทอแสงเฮอริเทจอุบลราชธานี” เป็นที่พักคืนสุดท้ายสำหรับทริปนี้ เรามาเที่ยวแค่ 3 วัน 2 คืน จะบอกว่า Lobby ดูอลังการมาก เดินไปที่ห้องเปิดห้องออกมา โอ้โห! ใหญ่มาก เราชาร์จแบตนอนเล่นประมาณชั่วโมงนึงแล้วก็เย็นพอดีจึงเสิร์ชหาร้านข้าวก็ไปเจอร้าน Max Beef ซึ่งอยู่ประมาณ 5 นาทีจากที่พัก จึงไปกินและฝนก็ตกหนักมาก วันนั้นเป็นเหมือนวันแห่งฝนเลยก็ว่าได้ เราเลิกถ่ายวิดีโอตั้งแต่ตอนนั้นเพราะถือว่าสามพันโบกคือจุดจบของทริปนี้ เราจึงให้เวลาในการถ่ายคลิปมากินแบบเพลิดเพลินสบายใจ
Max Beef เป็นร้านอาหารบุฟเฟต์ปิ้งย่าง อร่อยดีนะ มีหลายอย่างให้เลือกทานด้วย เนื้อก็เป็นเนื้อวัวคุณภาพดี อาหารทะเลก็มีหอยกับกุ้งที่เราชอบกิน ส่วนน้ำจิ้มถือว่าดีมาก ไม่ผิดหวัง เป็นมื้อเย็นที่หนักมาก เรากินจนจุก คิดว่าคงกินบุฟเฟ่ต์ไม่ได้อีกเป็นเดือนเลย เมื่ออิ่มหนำสำราญก็กลับที่พักไปตัดต่อวิดีโอต่อ เราตัดเสร็จไม่ดึกมาก เพราะเป็นคลิปสั้นๆ จากนั้นก็อาบน้ำนอน เพื่อนเราก็หลับก่อนเราตลอด ด้วยความที่เขาก็คงเหนื่อยแหละ ขับรถตลอด ส่วนเราก็นอนบนรถตลอด 55+
เช้าวันสุดท้ายของทริป ก่อนกลับเราได้แวะซื้อของฝากก่อน เป็นหมูยอ ไส้กรอกอีสาน น้ำพริก และของขึ้นชื่ออื่น ๆ เพื่อนเราขนของฝากกลับบ้านเยอะมาก ราวกับว่าจะเอาไปฝากคนทั้งหมู่บ้าน จากนั้นก็แวะคาเฟ่ก่อน เพราะอยากเห็นดอกบัว เราสงสัยว่า “อุบล” แปลว่า “ดอกบัว” แล้วไหนล่ะสระบัว? เห็นแต่รูปปั้นดอกบัวตั้งอยู่กลางเมือง เราอยากเห็นดอกบัวของจริงมากกว่าก็เลยเสิร์จไปเจอคาเฟ่นึง ทริปนี้ขอบอกเลยว่าไม่ได้แพลนอะไรเลย จะไปไหนก็ถามอากู๋อย่างเดียว คาเฟ่นี้เป็นคาเฟ่ระหว่างทางกลับบ้านพอดี ชื่อ “บัวนาคาเฟ่” ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่ บรรยากาศค่อนข้างร้อน แดดแรง เราไปถึงตอนเก้าโมงร้านเปิดพอดี บัวสวยมาก เราไม่รู้ว่าอุบลที่เรียกว่า “เมืองดอกบัวงาม” มันมีบัวที่อื่นอีกไหมนอกจากคาเฟ่นี้ แต่คือมันก็งามจริง ๆ ดอกชมพูเบ่งบาน นึกถึงทะเลบัวแดงที่อุดรเลย เขาน่าจะให้ชื่ออุดรธานีเป็นจังหวัดดอกบัวงามมากกว่านะ เพราะสระบัวที่นั่นคือใหญ่มาก พอ ๆ กลับมาต่อที่ร้านคาเฟ่นี้ จะบอกว่าร้านก็ปกติ ราคาปกติ แก้วละ 50 บาท ราคาเหมาะสมกับสถานที่อยู่นะ แต่รสชาติเครื่องดื่มถือว่าก็ได้อยู่ แต่ยังไม่ถึงกับว้าว โดยรวมถือว่าโอเค แนะนำว่าไปเช้าหรือเย็นจะดีมาก ถ้าไปตอนเที่ยงหรือบ่ายรับรองถ่ายรูปลืมตาไม่ขึ้นแน่
เมื่อถ่ายรูปและดื่มอะไรเย็น ๆ เสร็จก็เดินทางกลับบ้าน ทริปนี้ก็เป็นการจบลง ขากลับถึงบ้านเร็วมาก เร็วกว่าตอนไปเยอะเลย ทริปนี้ก็สนุกดี ถ้าไม่มีโควิดคงจะสนุกกว่านี้เยอะเลย เราอยากแวะผาแต้ม ผาโสกแล้วก็ผามออีแดงมากแต่โควิดทำให้ทุกอย่างปิด เดี๋ยวคราวหน้าจะมาเยือนใหม่นะ...อุบลราชธานี
Comments