top of page
Search

"ทีลอซู" ทริปของคนขี้ลืม!!!

  • Writer: Pornwadee Bhacharoensuk
    Pornwadee Bhacharoensuk
  • Apr 28, 2021
  • 2 min read

Updated: Apr 29, 2021

เราเป็นคนนึงที่หลงใหลในธรรมชาติมากๆ โคตรรัก รักแบบเข้าเส้นเลือด และรักแบบอยากอยู่ใกล้ทุกวัน

คำว่า "ธรรมชาติ" ตามความหมายพจนานุกรม หมายถึง "สิ่งที่เกิด มี และเป็นอยู่ตามธรรมดาของสิ่งนั้น ๆ เช่น ต้นไม้ คน สัตว์"


ส่วน "ธรรมชาติ" ในนิยามของเราก็คือ "ที่ไหนก็ได้ที่มีต้นไม้ มีสีเขียวๆ มีสิ่งมีชีวิต มีน้ำ มีเสียงสัตว์ท่ามกลางความเงียบสงบและที่สำคัญคือ....มันเป็นที่ที่เราอยู่แล้วรู้สึกสบายใจ" เรามองว่าธรรมชาติมันคือความสวยงามที่ "ไม่ใช่ทุกคนจะมองเห็น"


และเมื่อพูดถึงความสวยงาม มีสถานที่แห่งหนึ่งที่มีคำล่ำลือว่า สวยมาาาาาก สวยที่สุด สวยจนคนรักธรรมชาติอย่างเราไม่ไปไม่ได้แล้ว นั่นก็คือ "ทีลอซู" น้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศไทย และติดอันกับ 1 ใน 6 ของโลก!!! เฮ้ย!!! ขนาดนั้นเลยหรอ ต้องไปเห็นกับตาแล้วสินะ แต่ได้ยินมาว่ามันไม่ได้ไปง่ายๆนะ ต้องผ่านพันกว่าโค้งกว่าจะถึง! เมื่อเราหาข้อมูลจึงได้รู้ว่า "ทีลอซู" ตั้งอยู่ที่ อ.อุ้มผาง จ.ตาก เราเคยได้ยินชื่อมานานแล้วแหละ แต่ยังไม่เคยไปสักทีเพราะไม่เคยไปจังหวัดตาก ในชีวิตภาคเหนือก็ไปแค่เชียงราย เชียงใหม่ และน่านที่ไปบ่อยสุด


และแล้ววันนั้นก็มาถึง มันเป็นวันหนึ่งที่โชคดีมากๆ จู๋ๆ ก็มีพี่คนหนึ่ง ชื่อว่า "พี่หนึ่ง" ผู้ซึ่งเราเคยไปเที่ยวเชียงรายด้วยเมื่อเดือนมกราคม 64 ที่ผ่านมา ได้มาชวนเราให้ไปเที่ยวด้วยกันอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้เราได้คุยกันมาก่อนแล้วว่าอยากไปอุ้งผาง แต่ตอนนั้นมีเวลาไม่มากพอที่จะเที่ยวทั้งเชียงรายและอุ้งผางในเวลาเดียวกันก็เลยเก็บอุ้งผางไว้ใน list ที่บอกว่าเป็นวันที่โชคดีเพราะอะไรหรอ ก็เพราะว่าในที่สุดเราก็กำลังจะได้ไปจริงๆแล้วเว้ย!! มันรู้สึกดีมากๆที่คุยกะใครสักคนไว้ว่าอยากไปสักที่นึงแล้ววันนึงได้ไปจริงๆ โคตรดีใจเลยตอนนั้นที่พี่เขามาชวน เราตอบตกลงแบบไม่ได้คิดอะไรเลย "ไปๆ" จริงๆ ไม่ใช่แค่อุ้งผางหรอกที่เราดีใจ ใครชวนไปไหนเราก็ดีใจหมดแหละ ก็คนมันชอบเที่ยวอ่ะนะ อิอิ


เราเรียกพี่หนึ่งว่าพี่ลอย เพราะชื่อ Facebook พี่เขา คือ Terawut Long Boonrawd เราจำได้แค่คำว่า Long ก็เลยเรียกเพี้ยนมาเป็น "ลอย" จากนั้นก็เรียกพี่ลอยจนติดปากมาตลอด เรากะพี่ลอยเป็นเพื่อนต่างวัยกัน พี่ลอยเป็นคนสระบุรีที่ไปอยู่มวกเหล็ก รู้จักกับเราผ่าน Facebook ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมายแต่ก็คุยกันบ่อย ด้วยความที่พี่เขาเป็นคนติดตลก ส่วนเราเป็นคนบ๊องๆ มันเลยทำให้เราสองคนเข้ากันได้ง่าย มันมีจริงๆนะคนไม่สนิทแต่อยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกเหมือนสนิทมาก :) ทริปนี้พี่ลอยได้ชวนหลานสาวผู้น่ารัก (น้องนุ่น) และเพื่อนอีกสองคน (เซนส์ & ป๊อป) มาด้วย (เขาเป็นแฟนกัน อิอิ) ส่วนเราก็เหมือนเป็นตัวแถม ไป join กะเขา เราเข้าได้กับทุกคนนะถึงแม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกันแต่สิ่งที่เราเข้าไม่ได้คือ แมว!! เพื่อนพี่ลอยพาแมวมาด้วย ตอนแรกน้องก็น่ารักดีนะ มานั่งตักเรา ดูนิ่งๆ น่าเอ็นดู ไปๆ มาๆ ไม่รู้อารมณ์ไหนมากัดเรา เราเลยไม่ยุ่งอีกเลย (ฉันจะไม่ทน) 😅


สำหรับทริปนี้เราเริ่มเดินทางตอนสายๆ โดยพี่ลอยขับรถมาจากมวกเหล็กมารับหลานสาวแถวๆ รังสิตก่อน และจากนั้นก็มารับเราต่อที่ ม.เกษตร และขับตรงมุ่งหน้าสู่เชียงราย แท้ที่จริงแล้วทริปนี้วัตถุประสงค์หลักไม่ใช่อุ้งผาง แต่คือไปทำธุระที่เชียงราย ซึ่งทริปที่แล้วที่เราไปเชียงรายก็คือพาพี่ลอยไปทำธุระนั่นแหละ อันเดียวกัน หลังจากเสร็จธุระก็ค่อยเที่ยว ก่อนไปเราได้พักค้างคืนในแม่สอดก่อน เพราะตอนนั้นมันค่ำแล้วถ้าไปอุ้งผางเลยเกรงว่ามันจะเป็นอันตรายถ้าขับรถบนเขาตอนกลางคืน เราแวะร้านบุฟเฟต์หมูกระทะก่อนเข้าที่พัก ก็อร่อยดีแต่กินได้ไม่เยอะ เรากินบุฟเฟต์ไม่เคยคิดว่าต้องกินให้คุ้มนะ แค่กินให้หายอยากก็พอ หลังจากกินเสร็จ ก็ไปที่พัก ปรากฎว่าหูฟังเราหายไปไหนไม่รู้ เรากระวนกระวายมากเพราะหูฟังเป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้เลย เป็นของรักของหวงมากและอีกอย่างก็เพิ่งซื้อมาได้ไม่นานเอง เราก็เลยวานให้เซนส์ไปตามหาให้ที่ร้านหมูกระทะ และก็โชคดีมากที่หาเจอ ที่ร้านไม่ได้เก็บไว้ให้หรอก หาเจอใต้โต๊ะที่กิน มันร่วง โชคดีนะที่ไม่มีลูกค้ามานั่งต่อจากเรา เราดีใจมากๆ ที่ได้หูฟังคืน เช้าวันรุ่งขึ้น ในขณะที่ check out แล้วกำลังจะเดินทางต่อ ปรากฎว่าเราลืมอีกแล้ว!! ครั้งนี้ลืมที่ชาร์จแบตไว้ในห้อง แต่ก็โชคดีอีกแล้ว พี่ลอยเก็บไว้ให้ เราก็สบายใจไปอีกหนึ่ง เพราะถ้าขาดที่ชาร์จไปชีวิตเราคงอยู่ยากเหมือนกัน หลังจากนั้นก็เดินทางไปเรื่อยๆ เปิดดู map แล้วตกใจมาก โอ้โห! โค้งเยอะมาก เราเลยแนะนำให้พี่ลอยเลิกดู map เพราะมันจะทำให้เขาไม่มีกำลังใจในการขับถ้ามัวแต่ดู map และเห็นโค้งที่ตัวเองขับผ่านทีละโค้ง ทีละโค้ง ไม่ถึงสักที ระหว่างทางเราอยากจะลงไปอ้วกมาก เราได้แต่ภาวนาว่าขอให้ถึงเร็วๆ เราคิดว่าเราผ่านโค้งที่แม่ฮ่องสอนและน่านมาได้แล้ว เราต้องผ่านอุ้งผางได้เหมือนกัน และในที่สุดก็สำเร็จ เราผ่านจุดนั้นมาได้แล้ว เมื่อเห็นป้ายร้านกาแฟอุ้งผางเราดีใจมากเพราะอะไรหรอ เพราะเราอยากเข้าห้องน้ำมากๆ ระหว่างทางไม่มีห้องน้ำเลย นี่เป็นจุดแรกที่มีห้องน้ำ เราเลยซื้อโกโก้ไปแก้วนึงเพื่ออุดหนุนเป็นค่าเข้าห้องน้ำ ตอนนั้นเราอยู่ในร้านกาแฟคนเดียว ทุกคนรอที่รถ พี่ลองส่งข้อความหาเรา "มาได้แล้วเพื่อนพี่มาแล้ว" เราวิ่งกลับไปที่รถและขับไปไม่ไกลก็ได้ไปเจอกับ "พี่นกแล" เพื่อนของพี่ลอยผู้ซึ่งทำงานให้กรมป่าไม้ในอุ้มผาง ได้มาต้อนรับพวกเราและพาไปที่พักเนื่องจากว่าพี่เขาเป็นคนติดต่อให้ พี่นกแลเป็นคนอัธยาศัยดี น่ารัก เป็นกันเอง พี่เขาน่าจะเป็นคนกะเหรี่ยงเพราะเขาพูดกับคนกะเหรี่ยงรู้เรื่อง ตอนเราไปถึงมันใกล้ค่ำแล้วพี่เขาจึงพาไปเล่นน้ำลำธารที่ “ห้วยแม่ละมุ้ง” และพาไปดูพระอาทิตย์ตกที่ “ดอยหัวหมด” บรรยากาศลำธารคือดีมาก แช่เท้าแล้วรู้สึกสบายทั้งกายและใจ น้ำไหลพอดีไม่แรงเกินไป ส่วนดอยหัวหมดตอนนั้นเป็นช่วงหน้าร้อนจึงค่อนข้างที่จะดูแห้งแล้ง ต้นไม้ไม่ค่อยเขียวขจี ไฟป่าช่วงนั้นก็เกิดขึ้นบ่อยสังเกตจากรอยไหม้ของต้นไม้จึงทำให้ควันบดบังท้องฟ้า ทำให้เราอดเห็นพระอาทิตย์ตก แต่ก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยก็ได้เห็นวิวสวยๆจากยอด และเมื่อดูวิวเสร็จระหว่างที่กำลังจะเดินลงมาจากดอยเราก็นึกขึ้นได้ว่าเสื้อคลุมเราหายไปตอนที่เราถอดออกเพื่อถ่ายรูปบนดอยหัวหมด พี่ลอยหมั่นไส้เรามากที่ลืมบ่อย เลยแกล้งให้เราเดินขึ้นเขากลับไปเอา เราหาไม่เจอเลย ตอนนั้นคิดว่าลมแรงมากสงสัยลมพัดเสื้อปลิวหายไปแล้วก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรหรอกแต่ก็เสียดายเหมือนกันเพราะตั้งแต่ซื้อมาได้ใส่แค่ครั้งเดียว เมื่อเราเดินลงมาที่รถ พี่ลอยตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงสะใจว่า "เก็บเสื้อไว้ให้แล้ว" เราก็ขำแรงกับความขี้ลืมของตนเองแต่ก็ดีใจที่ได้เสื้อคืน หลังจากนั้นพวกเราก็กลับไปที่พักเพื่อพักผ่อนกายา ที่พักชื่อ “ตูกะสู คอจเทจ รีสอร์ต” ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ที่พัก แต่มีโปรแกรมทัวร์หลากหลายให้เลือก พวกเราจึงได้เลือกโปรแกรมล่องเรือยางพาไปน้ำตกทีลอซูสำหรับวันพรุ่งนี้


เช้าวันต่อมาเราตื่นแต่เช้าเตรียมตัวสำหรับทริปล่องเรือไปน้ำตกทีลอซู โดยทริปเริ่ม 9.00 น. รถได้มารอรับพวกเราแล้วเรียบร้อย น้องแมวผู้น่าสงสารได้ถูกทิ้งให้อยู่ในห้องลำพังเนื่องจากว่าที่ที่เราจะไปมันเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขาเรียกว่าอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปได้ ดูท่าทาง "ป๊อป" เจ้า ของน้องแมวดูเศร้าและเป็นห่วงมากแมวของตัวเองมาก แต่ก็ต้องทำตามกฎปล่อยให้อยู่ตามลำพังพร้อมกับเตรียมอาหารไว้ให้ มันทำให้เรานึกถึง "ฮาชิ" น้องหมาของเราที่เรานำมาเลี้ยงตั้งแต่แรกเกิดแต่ไม่สามารถอยู่ด้วยได้ปล่อยให้อยู่บ้านต่างจังหวัดกับพ่อแม่ของเรา แต่ฮาชิตอนนี้โตมากแล้วเราคิดว่าคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่หรอก พูดแล้วก็คิดถึงจัง.. ในระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ รถก็พาเรามาถึงลำธารพอดี ลำธารนี้อยู่ไม่ไกลจากที่พัก ทุกคนสวมเสื้อชูชีพถอดรองเท้าเตรียมพร้อมกับการผจญภัย มีคนพายเรือสองคนหน้าหลัง คนหน้าเป็นคุณลุงหน้าตาเป็นมิตรส่วนข้างหลังเป็นชายหนุ่มรูปงาม บางทีเราก็ไม่ได้มองแค่วิว เราแอบมองเข้าด้วย (ร้าย 555+) เรานั่งสบายมาก ชมบรรยากาศไปแบบไม่ต้องออกแรง เราตื่นเต้นมากเพราะไม่ได้ล่องเรือแบบนี้มานานมาก ครั้งล่าสุดที่ล่องก็ประมาณ 4 ปีที่แล้วที่ บาหลี อินโดนีเซีย


จุดพักจุดแรก มีห้องน้ำให้เข้า เป็นห้องน้ำแบบนั่งยองๆ สะอาดดี อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงโควิดไม่ค่อยมีคนใช้บริการ ขนาดร้านค้ายังปิดหมดเลย และที่เราชอบก็คือมีบ่อน้ำร้อนให้นั่งแช่เท้าด้วย เป็นบ่อที่ธรรมชาติสุดๆเท่าที่เคยเห็นมา สีน้ำเขียวๆฟ้าๆใสๆเหมือนสีทะเล ล้อมรอบด้วยต้นไผ่ แช่เท้าแล้วรู้สึกผ่อนคลายดีมาก บรรยากาศนึกว่าอยู่ญี่ปุ่น


เมื่อพักเสร็จก็เดินทางต่อ พี่พายเรือก็แนะนำสถานที่ตลอดทางว่าเราผ่านสถานที่สำคัญอะไรบ้าง จุดที่ชอบที่สุดคือมันจะมีที่หนึ่งที่เป็นน้ำตกเล็กๆ และเราสามารถมองเห็นรุ้งได้ คือมันสวยมาาาาากกก!!! เราชอบตอนไอเย็นๆของน้ำหยดลงมากระทบที่ตัว มันรู้สึกสดชื่นและเป็นกลิ่นอายธรรมชาติที่ทำให้รู้สึกว่าอยากอยู่ตรงนั้นไปนานๆ เพลินมาก ยอมรับว่าช่วงแรกๆของการนั่งเรือสนุกสนานมาก แต่พอนั่งไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกเหนื่อยและคำถามที่ผุดมาในหัวคือ "เมื่อไหร่จะถึง?" ช่วงที่เราไปน้ำไม่แรงและไม่ลึกมากจึงทำให้ยากต่อการพาย พี่คนพายเรือบอกว่า ใช้เวลาพายประมาณ 3 ชั่วโมง แต่ถ้าน้ำเยอะแค่ชั่วโมงครึ่งถึง 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว เราก็รู้สึกสงสารคนพายอยู่เหมือนกันคงปวดแขนน่าดู แต่เราก็ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากให้กำลังใจ เพราะแค่นั่งเรือนานๆเราก็หมดแรงแล้ว หมดแรงกับการตากแดด ไม่ใช่แค่หมดแรง หมดสภาพด้วย 555+


จุดต่อไปคือ "ผาเลือด" จุดนี้คือจุดสิ้นสุดของการล่องเรือ เมื่อมาถึงเราจะต้องนั่งรถที่เรานั่งมาตอนแรกต่อเข้าไปประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อไปยังอุทยานและทานข้าวเที่ยงที่นั่น ข้าวเที่ยงของเราคือผัดกะเพราง่ายๆ ในห่อใบตอง เราแกะกินด้วยความหิวโหย การเดินทางเหนื่อยๆ มันสามารถทำให้เรากินได้เยอะขนาดนี้เลยหรอ ข้าวห่อใหญ่มากตอนแรกคิดว่าต้องกินไม่หมดแน่ๆ แต่สุดท้ายก็หมดเกลี้ยง หลังจากทานข้าวเสร็จก็ได้เวลาเดินเท้าไปยังปลายทางของเราน้ำตกทีลอซู เรารู้สึกดีใจมากที่ใกล้ถึงสักที ตามป้ายบอกว่าระยะทาง 1.5 กม. ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง แต่เราน่าจะเดินเกินครึ่งเพราะเดินช้ามาก อยู่หลังเพื่อนเลย ระหว่างทางสังเกตต้นไม้ข้างทางจะเห็นป้ายชื่อของต้นไม้ต่างๆ ซึ่งมีชื่อแปลกๆหลายต้นที่เราไม่เคยได้ยิน ก็น่าสนใจดี


และในที่สุดเราก็ถึงน้ำตกทีลอซู!! ดีใจมาก ถึงสักที แต่... อ้าว เดี๋ยว!! ทำไมไม่เหมือนในรูป ไหนบอกสวยสุดในประเทศไทยไง ไม่เห็นจะรู้สึก amazing เลย น้ำมันแห้งไป สรุปข้อคิดของทริปนี้ก็คือคิดจะเที่ยวต้องเที่ยวให้ถูกฤดูกาลนะจ้ะ เขาบอกว่าเดือนที่น้ำตกสวยที่สุดคือเดือน ตุลาคม - พฤศจิกายน น้ำจะเยอะกว่านี้มาก โอเคไม่เป็นไรนะ ก็ถือซะว่าการมาเที่ยวของเราในทริปนี้มันเป็นเหมือนมา survey มากกว่าเพราะเรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านี่คือหน้าร้อนมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นน้ำเยอะ แค่อยากมาเห็นว่ามันเป็นยังไง มันจะเดินทางมายากเหมือนที่เขาว่าไหม แต่ก็เออ...ยากจริง แทบอ้วก โค้งเยอะมาก ทริปนี้แค่มาหยอกๆ ทริปหน้าอ่ะของจริง!!! เราจะกลับมาอีกแน่ๆ จะกลับมาดูให้รู้กันว่าช่วงที่เขาบอกว่าสวยที่สุดมันจะสวยจริงไหมและจะสวยขนาดไหน


เมื่อเราชื่นชมน้ำตก ถ่ายรูปเล่น อะไรเสร็จก็เตรียมตัวกลับ ขากลับง่ายมากนั่งรถตรงตลอดทางต่อเดียวถึง เรากลับด้วยร่างกายอันหมดแรง และรองเท้าที่ขาดครึ่งไปหนึ่ง ซึ่งมันก็สมควรแล้วที่ขาดเพราะมันไม่ใช่รองเท้าสำหรับเดินป่า เราไม่ได้คิดว่าจะลุยขนาดนี้ 555+ เมื่อมาถึงที่พักเราก็เพลียและเหนื่อยมากแต่ก็ต้องไปต่อ ป๊อปรีบไปหาน้องแมวของตนด้วยความคิดถึง น้องแมวก็คงดีใจที่เจ้าของกลับมาหาแล้ว พี่นกแลไม่ได้ไปน้ำตกกับเราเพราะติดงาน แต่ก็มาเจอเราตอนเรากลับถึงที่พัก และพาไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ เป็นรองเท้าช้างดาวแสนทนที่คาดว่าจะไม่มีทางขาดอีกไม่ว่าจะลุยแค่ไหน และพร้อมกับซื้อเบียร์กระป๋องไปนั่งชิวที่ “ห้วยแม่กลอง” บรรยากาศตอนนั้นดีมากๆ ป๊อปพาแมวมาด้วย เรา enjoy กับการฟังเสียงน้ำไหล นั่งไปสักพักนึงแสงอาทิตย์เริ่มหายไป มีรถกระบะคล้ายๆสองแถวคันหนึ่งขับเข้ามาจอดที่ลำธารพร้อมกับเด็กสาววัยรุ่นประมาณ 10 คนแห่ลงน้ำพร้อมกับอุปกรณ์อาบน้ำส่วนตัวของแต่ละคน เมื่อเข้าไปคุยด้วยจึงได้รู้ว่า คุณครูพาเด็กมาอาบน้ำลำธารเพราะน้ำที่โรงเรียนไม่ไหล ตอนนั้นพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เรามองหน้าใครไม่ชัด แต่ก็สัมผัสได้ว่าน้องๆที่อาบน้ำก็แลดูสนุกสนานมากจากการพูดคุยถึงแม้ว่ามันจะเป็นภาษาที่เราไม่เข้าใจ ต่างคนต่างอาบน้ำถูสบู่ขัดตัวสระผมแบบที่ไม่ได้ถอดเสื้อผ้า ใส่ชุดกีฬาอาบ เราก็นั่งมองพวกเขาและรู้สึกสนุกไปด้วย มันทำให้เรานึกถึงตัวเองตอนเด็ก ทำอะไรก็สนุกไปหมด บางทีเราก็รู้สึกว่าเด็กเหล่านี้เกิดมาแล้วโชคดีจัง ได้อยู่ใกล้ธรรมชาติ ได้อาบน้ำกับลำธารเย็นๆ บางทีเราก็อยากมีบ้านอยู่ใกล้ๆธรรมชาติแบบนี้บ้าง ชีวิตเราคงไม่ต้องโหยหาอะไรอีกแล้ว เพราะนั่นมันคือความสุขที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า มันจะเป็นแบบที่คิดไหม


หลังจากกลับจากลำธารพี่นกแลพาไปทานข้าวร้านหนึ่งเป็นร้านที่พี่เขาบอกว่าอร่อยที่สุดในย่านนั้นซึ่งมันก็อร่อยจริงๆ ทานข้าวเสร็จก็กลับมากำลังว่าจะอาบน้ำนอนแต่นึกขึ้นได้ว่าลืมขาตั้งกล้องไว้ที่ร้านข้าว โชคดีมากที่ร้านข้าวอยู่ไม่ไกลจากที่พัก ตอนนั้นมันมืดแล้วเราเดินกลับไปเอาพร้อมกับเซนส์เดินไปเป็นเพื่อน และพบว่าคุณป้าที่ร้านอาหารได้เก็บขาตั้งกล้องไว้ให้เรา เราดีใจมากที่มันไม่หาย เพราะขาตั้งกล้องสำคัญกับเรามากๆ เพราะในทริปนี้เราก็ใช้ขาตั้งกล้องในการถ่ายวิดีโอด้วย เราขอบคุณคุณป้าพร้อมกับเดินกลับมาที่พัก เซนส์ได้เบียร์กลับมาด้วย เรานั่งชิวอยู่หน้าห้องกันสองคนในขณะที่คนอื่นๆร่างกายอ่อนเพลียพร้อมที่จะนอนแล้ว หลังจากเบียร์หมดเราก็กลับเข้าห้องอาบน้ำนอน คืนนั้นเราหลับสบายมากเพราะการเดินทางไปกลับน้ำตกทีลอซู 7ชั่วโมงกว่ามันทำให้ร่างกายของเราพร้อมที่จะสลบไสลอย่างแรง


วันสุดท้ายของทริปเราเตรียมตัวกลับพร้อมบอกลาเจ้าของที่พัก พี่นกแลผู้ใจดีได้พาเราไปเลี้ยงข้าวก่อนกลับแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจของเจ้าบ้านที่มีให้ผู้มาเยือน การมีเพื่อนหลายๆที่มันก็ดีนะ ไปไหนมาไหนจะได้มีคนพาเที่ยว และไม่เหงาด้วย ยิ่งถ้าเจอคนดีๆแบบพี่นกแลนี่คงโชคดีมาก เมื่อทานข้าวเสร็จเราก็บอกลาพี่นกแลพร้อมกับเดินทางมุ่งหน้ากลับถิ่น เราแยกกับพี่ลอยและเพื่อนของเขาที่สระบุรีเพราะพวกเขาจะกลับไปที่มวกเหล็กส่วนเราและน้องนุ่นจะกลับกทม. เราทั้งสองจึงนั่งรถ minibus กลับด้วยกันและแยกกันที่ BTS หมอชิต เมื่อถึงบ้านเราก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองทำอะไรหายอีกไหมจนกระทั่งพี่ลอยโพสต์รูปขาตั้งกล้องลง Facebook และประกาศหาเจ้าของว่า "ใครลืมไว้ในรถมาเอาด้วย" 555+ โอ๊ย!!! ฉันลืมอีกแล้วหรอเนี่ยยยยย.. เราก็เลยบอกพี่ลอยว่างั้นเจอกันครั้งหน้าค่อยเอาคืนละกันนะ ตอนนี้เราก็ซื้ออันใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่การลืมของไว้กับใครสักคนมันก็ดีตรงที่ มันจะทำให้เราได้เจอกับคนคนนั้นอีก...


จบทริป :)


ถึงทริปนี้จะไม่ได้ประทับใจน้ำตกมากเท่าไหร่ แต่มันก็มีอย่างอื่นที่น่าประทับใจ ประทับใจที่ได้มาเจอเพื่อนร่วมทริปคนใหม่ๆ ประทับใจที่ได้เที่ยวกับใครสักคนแล้วเขาอยากเที่ยวกับเราอีก ประทับใจที่ได้เห็นความมีน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ ประทับใจที่ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คน ประทับใจที่ได้อยู่กับธรรมชาติที่หาได้ยากจากในเมืองและสิ่งที่ประทับใจที่สุดก็คือ...ประทับใจในตัวเองที่เปิดโอกาสให้ตัวเองมาเห็นสิ่งที่อยากเห็นและได้ทำสิ่งที่อยากทำ...มีสิ่งเดียวที่ไม่ประทับใจก็คือ "ความขี้ลืม" ของตัวเองนี่แหละ 555555555






 
 
 

Recent Posts

See All
Tramont ที่นอนในฝัน

เย็นวันเสาร์หลังเลิกงานเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ฉันเฝ้ารอมาตลอดทั้งอาทิตย์ ฉันผู้ทำงานอาทิตย์ละ 6 วัน รู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที...

 
 
 

Comentários


Post: Blog2_Post
bottom of page